+จะสร้างบ้าน,อพาร์ทเมนท์ จะต้องมีค่าใช้จ่ายเท่าไร่?
+ค่าออกแบบ นำมาแบ่งเป็นส่วนๆ อย่างไร
+แหล่งเงินทุน
+มารู้จักส่วนประกอบต่างๆของอาคาร
+ฮวงจุ้ย
- จะสร้างบ้าน,อพาร์ทเมนท์ จะต้องมีค่าใช้จ่ายเท่าไร่?
>>>ค่าบริการ ออกแบบ-เขียนแบบ คิดราคา 2%-3.5% ของค่าก่อสร้าง
>>>ส่วนค่าก่อสร้างอาคาร คิดจากนำพื้นที่ใช้สอย(ตารางเมตร) คูณด้วยอัตราค่าก่อสร้างต่อตารางเมตร
ตัวอย่าง การสร้างบ้านพักอาศัยชั้นเดียว
1. ส่วนรับแขก 4x4 =16 ตร.ม.
2. ส่วนอาหาร 4x3 = 12 ตร.ม.
3. ครัว 4x3 = 12 ตร.ม.
4. ห้องน้ำ 2x2 จำนวน 2 ห้อง = 8 ตร.ม.
5. ห้องนอน 4x4 จำนวน 2 ห้อง = 32 ตร.ม.
6. ระเบียง,โถง โดยประมาณ 25 % ของพื้นที่สุทธิทั้งหมด = 20 ตร.ม.
รวมพื้นที่ใช้สอย 100 ตร.ม.
ค่าก่อสร้าง พ.ศ. 2551 ประเภทบ้านพักอาศัย ตารางเมตรละ 12,000-15,000 บาท(ขึ้นอยู่กับประเภทของอาคาร
และวัสดุที่ใช้)
>>>>การคำนวณค่าก่อสร้าง 100 x 12,000 = 1,200,000 บาท<<<<
>>>>การคำนวณค่าออกแบบ 1,200,000 x 0.02 (2%ของค่าก่อสร้าง)= 24,000 บาท
แค่เงินเพียง 24,000 บาท คุณได้แบบบ้านพักอาศัย 100 ตร.ม ตามความต้องการการใช้สอยของคุณเอง
>>>>>กลับไปด้านบน<<<<<<
-ค่าออกแบบ นำมาแบ่งเป็นส่วนๆ อย่างไร
ค่าบริการของสถาปนิก เมื่อไดรับมาจากเจ้าของโครงการแล้วจะต้องมีการให้กับวิศวกรสาขาต่างๆที่เข้ามาร่วมงาน
(วิศวกรคงไม่ยอมออกแบบโครงสร้างให้ฟรีแน่)ซึ่งจะจัดการแบ่งตามวิธีดังนี้
1. เมื่อรับค่าบริการ(เงิน)มา จะหักค่าใช้จ่ายบางประเภทออกก่อนคือ
- ค่าประสานงาน (หักไม่เกิน 10%)
- ค่าใช้จ่ายพิเศษอื่นๆ (หักไม่เกิน 15%)
2. เหลือเงินจากข้างต้นเมือไรจะแบ่งกัน โดยแยกประเภทของโครงการเป็น 4 ประเภท
- ประเภทที่ 1 บ้านพักอาศัย
- ประเภทที่ 2 อาคารชุด สำนักงาน ห้างสรรพสินค้า หอพัก โรงเรียน
- ประเภทที่ 3 โรงแรม โรงพยาบาล โรงภาพยนต์ สนามกีฬาในร่ม
- ประเภทที่ 4 โรงงาน โกดัง อาคารจอดรถ ห้องแถวตลาด
โดยจะแบ่งออกเป็นสัดส่วนเปอร์เซ็นต์ดังนี้
ประเภทของงาน/คน |
1 |
2 |
3 |
4 |
สถาปนิก |
65% |
60% |
55% |
50% |
วิศวกรโครงสร้าง |
20% |
20% |
22% |
26% |
วิศวกรสุขาภิบาล |
5% |
5% |
6% |
6% |
วิศวกรไฟฟ้า |
10% |
10% |
11% |
11% |
วิศวกรเครื่องกล |
- |
5% |
6% |
6% |
>>>>>กลับไปด้านบน<<<<<<
- แหล่งเงินทุน
แหล่งเงินทุนของการประกอบธุรกิจ อพาร์ทเม้นท์ มาจากสองทางใหญ่ๆด้วยกัน คือ เงินทุนส่วนตัว และ
การกู้เงิน จากสถาบันการเงินต่างๆ ถ้าใช้เงินทุนส่วนตัว ผู้ลงทุนสร้างอพาร์ทเม้นท์ สามารถดำเนินการ
ได้ทันที แต่ในกรณีที่มีเงินส่วนตัวน้อยผู้ลงทุนอาจติดต่อขอกู้จากสถาบันได้เงินซึ่งผู้กู้ต้องมีหลักทรัพย์
ค้ำประกันเงินกู้โดยอาจใช้ที่ดินแปลงที่จะลงทุนก่อสร้างอพาร์ทเม้นท์ก็ได้ ผู้ประกอบการที่มีที่ดินเป็นของ
ตนเองมักขอกู้เงินจากสถาบันการเงินได้ง่ายกว่าผู้ที่ไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง เนื่องจากสถาบันการเงินจะนำ
ราคาที่ดินที่ประเมินได้รวมกับค่าก่อสร้างแล้วปล่อยให้ผู้กู้ประมาณ 60% - 70% ของราคาค่าที่ดินและ
สิ่งปลูกสร้างรวมกันเงินกู้ที่สถาบันการเงินปล่อยให้นี้ เป็นเงินในส่วนของค่าก่อสร้างอาคารเท่านั้น ไม่รวม
ถึงค่าตกแต่ง ค่าเฟอร์นิเจอร์ และอุปกรณ ์สำนักงานสถาบันการเงินที่ผู้ประกอบการติดต่อขอกู้เงินได้
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ระเบียบการขอสินเชื่อประเภทแฟลต อพาร์ทเม้นท์ ให้เช่า |
|
|
1. วัตถุประสงค์ในการให้กู้เงิน |
(1) เพื่อปลูกสร้างอาคารแฟลตให้เช่า
(2) เพื่อไถ่ถอนจำนองอาคารแฟลตจากสถาบันการเงินอื่น
(3) เพื่อซื้อหรือชำระหนี้อาคารแฟลต |
|
2 . ระเบียบการกู้เงิน |
(1) ธนาคารพิจารณาให้กู้ภายใต้เงื่อนไข ดังนี้
- ให้กู้ไม่เกิน 100% ของมูลค่าการก่อสร้างอาคารแฟลต หรือกรณีขอกู้ค่าที่ดิน ให้กู้ได้ไม่เกิน 30% ของมูลค่าที่ดิน
โดยวงเงินกู้รวมค่าที่ดินและอาคารต้องไม่เกิน 80% และธนาคารสงวนสิทธิ์การให้กู้ค่าที่ดินตามพื้นที่และจังหวัด
ตามที่เห็นควร
ทั้งนี้ การพิจารณาวงเงินกู้ ธนาคารพิจารณาจากรายรับค่าเช่าที่มีความเป็นไปได้ของอาคารแฟลต หักรายจ่ายของ
แฟลตตามวิธีการของธนาคาร โดยรายรับหลังหักรายจ่ายต้องสามารถผ่อนชำระเงินงวดได้โดยไม่มีปัญหา
- ผู้กู้ต้องแสดงหลักฐานการเงินที่ใช้สมทบการก่อสร้างให้ชัดเจน และสามารถตรวจสอบได้ เช่น บัญชีเงินฝาก เป็นต้น
- กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ใช้เป็นที่ก่อสร้างอาคารแฟลตต้องเป็นของผู้กู้ และต้องจำนองที่ดินเป็นหลักประกันหนี้ด้วย
- อายุของผู้กู้ต้องไม่เกิน 55 ปี หากเกิน ต้องมีผู้กู้ร่วม และอายุของผู้กู้ร่วมรวมกับระยะเวลาผ่อนชำระต้องไม่เกิน 65 ปี
(2) กรณีปลูกสร้างอาคาร ผู้ขอปลูกสร้างอาคารจะต้องเป็นบุคคลเดียวกันกับผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน
(3) อาคารที่นำมาเป็นหลักประกันจะต้องเป็นอาคารคอนกรีตถาวร มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่สำคัญ คือ ห้องน้ำ
(พื้นห้องน้ำปูกระเบื้อง) และเหมาะสำหรับผู้เช่าที่มีรายได้น้อยหรือปานกลาง
(4) ขนาดห้องพัก ต้องมีขนาดไม่ต่ำกว่า 20 ตารางเมตร ความกว้างของห้องพักไม่น้อยกว่า 3.0 เมตร
(5) ที่ดินที่จะใช้ปลูกสร้างอาคารแฟลตให้เช่าขั้นต่ำต้องมีเนื้อที่ไม่ต่ำกว่า 60 ตารางวา
(6) ถนนผ่านอาคารแฟลตอย่างน้อยต้องมีสภาพเป็นถนนลาดยาง
(7) ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุด 15 ปี นับจากวันทำสัญญา ในกรณีที่ขอกู้เงินเพื่อปลูกสร้างและอยู่ระหว่างการก่อสร้าง
(ภายในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี) ผู้กู้ยังไม่ต้องชำระเงินงวด แต่จะต้องชำระดอกเบี้ยเงินกู้ในส่วนที่เบิกจ่ายไปแล้วทุกเดือน
(8) ธนาคารคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ในอัตรา MLR ตามประกาศของธนาคาร
(9) อาคารที่จะปลูกสร้าง หรือไถ่ถอนจะต้องถูกต้องตามแบบที่ได้รับอนุญาต ธนาคารจะไม่พิจารณาให้กู้ หรือยกเลิกการให้กู้ เมื่อมีการก่อสร้างผิดไปจากแบบที่ได้รับอนุญาต
(10) ที่ดินและอาคารต้องอยู่ในหรือใกล้เขตชุมชน ใกล้บริการคมนาคมสาธารณะ และต้องมีทางเข้า-ออกโดยสะดวกพอควร
(11) ผู้กู้จะต้องประกันภัยระหว่างก่อสร้างก่อนรับเงินงวดแรก และเมื่อปลูกสร้างอาคารแล้วเสร็จต้องทำประกันอัคคีภัยกับ
บริษัทประกันภัยที่ธนาคารให้ความเห็นชอบ ในวงเงินไม่น้อยกว่าวงเงินกู้ โดยโอนผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ให้ธนาคาร เป็นผู้รับจนกว่าจะหมดภาระหนี้สิน
(12) คิดค่าธรรมเนียมดังนี้
ค่าธรรมเนียมการวิเคราะห์โครงการ
- วงเงินขอกู้ไม่เกิน 30.00 ล้านบาท คิดค่าธรรมเนียม 0.25% แต่ไม่เกิน 10,000 บาท
- วงเงินขอกู้เกิน 30.00 ล้านบาท คิดค่าธรรมเนียม 20,000 บาท
- กรณีขอกู้เพิ่ม คิดค่าธรรมเนียม 0.25% แต่ไม่ต่ำกว่าครั้งละ 2,000 บาท และไม่เกิน 10,000 บาท
ค่าธรรมเนียมประเมินโครงการ 5,000 บาท
ค่าธรรมเนียมตรวจสอบผลการก่อสร้าง
- คิดค่าธรรมเนียมการตรวจสอบ ครั้งละ 1,200 บาท
**** เงินค่าธรรมเนียมจะไม่คืนให้แม้ธนาคารไม่อนุมัติให้กู้ ***** |
|
3. หลักฐานประกอบการขอกู้ |
- คำขอกู้เงินตามแบบฟอร์มของธนาคาร
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน ทะเบียนบ้าน ทะเบียนสมรส (ถ้ามี)
ในกรณีเป็นนิติบุคคลจะต้องแสดงใบจดทะเบียนบริษัทฯ ใบจดทะเบียนการค้า สำเนาหนังสือบริคณห์สนธิ ที่ระบุ
วัตถุประสงค์ สามารถกู้เงิน ค้ำประกันเงินกู้ และให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ หนังสือรับรองบริษัทฯ จากกระทรวงพาณิชย์ และ
รายงานการประชุมผู้ถือหุ้น
- สำเนาโฉนดที่ดิน พร้อมสารบัญจดทะเบียนทุกหน้า ถ่ายเอกสารเท่าตัวจริง
- แบบพิมพ์เขียวของอาคารที่ใช้ก่อสร้าง(ฉบับจริงชุดประทับตราฯ) 1 ชุด ประกอบด้วย ผังบริเวณ รูปแบบแปลนพื้นทุกชั้น รูปด้าน 4 ด้าน รูปตัด อย่างน้อย 1 รูป
- สัญญากู้ สัญญาจำนองพร้อมใบเสร็จที่ผ่อนชำระกับสถาบันการเงินเดิม ย้อนหลังอย่างน้อย 6 เดือน พร้อมรูปถ่าย
ภายนอกอาคาร 3 ด้าน รูปถ่ายภายในตัวอาคาร คือ รูปถ่ายทางเดิน, โถง, รูปถ่ายภายในห้องพัก ในกรณีขอกู้เพื่อไถ่ถอนจำนอง
- ผู้กู้จะต้องถ่ายภาพสภาพแวดล้อมบริเวณที่ตั้งหลักประกันมาให้ธนาคารพิจารณาประกอบคำขอกู้
- หนังสือเสนอราคาค่ารับเหมาก่อสร้าง (ถ้ามี)
- หลักฐานแสดงฐานะทางการเงินของผู้ขอกู้
- ใบขออนุญาตปลูกสร้างฯ หรือสำเนาเอกสารที่ยื่นขออนุญาตก่อสร้าง (ถ้ามี)
|
|
4. การผ่อนชำระเงินกู้ |
(1) กรณีขอกู้ประเภทไถ่ถอนจำนองอาคารแฟลต ผู้กู้จะต้องผ่อนชำระเงินงวดตามสัญญา ตั้งแต่เดือนที่ทำสัญญากู้เงิน
(2) กรณีขอกู้ประเภทปลูกสร้างอาคารแฟลต ผู้กู้จะต้องผ่อนชำระดอกเบี้ยทุกเดือน เริ่มตั้งแต่เดือนที่ทำสัญญากู้เงิน และ
ได้รับเงินกู้ไปแล้ว และจะต้องผ่อนชำระเงินงวด เมื่อเบิกจ่ายเงินกู้ครบตามสัญญา |
|
5. สถานที่ติดต่อขอกู้เงิน |
- ฝ่ายสนับสนุนสินเชื่อ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่ อาคาร 2 ชั้น 2 เลขที่ 63 ถนนพระรามที่ 9
เขตห้วยขวาง กทม. 10310 กรณีที่แฟลตนั้นตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล หรือที่
- ฝ่ายกิจการสาขาภูมิภาค 1 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่ อาคาร 2 ชั้น 9 หรือ สาขาในเขตภาคเหนือ
หรือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กรณีแฟลตนั้นตั้งอยู่ หรือที่
- ฝ่ายกิจการสาขาภูมิภาค 2 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่ อาคาร 2 ชั้น 8 หรือ สาขาในเขตภาคกลาง
หรือ ภาคใต้ กรณีแฟลตนั้นตั้งอยู่
|
|
6. หมายเลขโทรศัพท์ติดต่อ |
|
>>>>>กลับไปด้านบน<<<<<<
- มารู้จักกับส่วนประกอบต่างๆ ของอาคาร
>>เสาเข็ม
เสาเข็มทั่วไปจะแยกออกได้ป็นสำคัญ 2 ประเภทคือ เสาเข็มตอก และเสาเข็มเจาะ เสาเข็มตอก เสาเข็มเจาะเองก็ยังสามารถแยกได้อีก เป็น อย่างละ 2 ประเภท ซึ่งสรุปรวมวิธีการทำงาน และจุดด้อย น่าจะสรุปพอเป็นสังเขปได้ดังต่อไปนี้
1. เสาเข็มตอกทั่วไป จะมีหน้าตาต่างๆ กันมีทั้งแบบ สี่เหลี่ยม หกเหลี่ยม และเป็นรูปตัวไอ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีหน้าตัดตันทั้งต้น เวลาตอกลงไปง่ายๆ อย่างที่เราเห็นกันโดยทั่วไป
2. เสาเข็มกลมกลวง เป็นเสาเข็มที่สามารถรับแรงได้มากกว่าเสาเข็มแบบแรกในปริมาณคอนกรีตเท่าๆ กัน เพราะสามารถทำให้โตกว่าได้ ผลิตโดยการปั่นหมุนคอนกรีตให้เสาเข็มออกมากลม และกลวง เวลาตอกส่วนใหญ่จะขุดเป็นหลุมก่อนแล้วกดเสาเข็มลงไป พอถึงระดับที่ต้องการจึ่งจะเริ่มตอก ทำให้มีส่วนเสาเข็มไปแทนที่ดินน้อยลง (ดินถูกขุดออกมาบางส่วนแล้ว)อาคารข้างเคียงเดือดร้อนน้อยลงจากการเคลื่อนตัวของดิน (แต่ความดัง ฝุ่นละออง และความสะเทือนยังคงอยู่)
3. เสาเข็มเจาะแบบแห้ง เป็นระบบเสาเข็มเจาะขนาดเล็ก ส่วนใหญ่จะลึกประมาณ 20 เมตร (แล้วแต่ระดับชั้นทราย)รับน้ำหนักได้ไม่เกิน 120 ตันต่อต้น วิธิการก็คือ เจาะดินลงไป (แบบแห้งๆ)แล้วก็หย่อนเหล็กเทคอนกรีตลงไปในหลุม ราคาจะแพงกว่าระบบเข็มตอก แต่เกิดมลภาวะน้อยกว่ามาก ทั้งเรื่องการเคลื่อนตัวของดิน ความสั่นสะเทือน ฝุ่นละออง จึงเป็นที่นิยมใช้กันในที่ที่มีคนอยู่หนาแน่น
4. เสาเข็มเจาะแบบเปียก ทำเหมือนเสาเข็มเจาะแห้ง แต่เวลาขุดดินจะขุดลึกแล้วใส่สารเคมีลงไปเคลือบผิวหลุมดินที่เจาะให้ทำหน้าที่เป็นตัวยึดประสานดิน และกันดินไม่ให้พังทลายลงเวลาเจาะลึกๆ (ซึ่งสามารถเจาะได้ลึกกว่า 70 เมตร) รับน้ำหนักได้มาก และเกิดมลภาวะน้อย แต่ราคาแพง
ส่วนการเลือกว่าจะใช้เสาเข็มแบบไหนดีนั้น ต้องตั้งข้อสังเกตและทราย ปัญหาก่อน แล้วเปรียบเทียบความจำเป็น และเป็นไปได้ของแต่ละระบบในแต่ละงาน โดยยึดถือหลักประจำใจในการพิจารณาดังนี้
>ราคา
>อาคารข้างเคียง(มลภาวะ)
>ความเป็นไปได้ในการขนส่งเข้าหน่วยงาน
>เวลา (ทั้งเวลาทำงาน และที่ต้องรอคอย)
>>>>>กลับไปด้านบน<<<<<<
- ฮวงจุ้ย
ทำเลของอาคาร ตามหลักฮวงจุ้ย
- อาคารที่หันหน้าไปทางทิศใต้ซึ่งเป็นที่ว่าง เป็นทำเลที่ดีตามหลักของฮวงจุ้ยดีเยียม เพราะกระแสลมจะนำความสดชื่น
และการไหลเวียนของอากาศที่ดี รวมทั้งพลังงานแห่งจักรวาลเข้ามาในบ้าน คนในบ้านจะอยู่อาศัยอย่างสบายใจ
-อาคารหลังใดที่อยู่สุดซอยเป็นทางตัน เป็นทำเลที่ไม่ดีนัก เพราะพลังอันเลวร้ายจากถนนใหญ่จะพุ่งเข้ามาชนตรงๆ
โดยเฉพาะถ้าบ้านนั้นหันหน้าออกมาทางปากซอยด้วยแล้ว ถือว่าเป็นทำเลอัปมงคลมากทีเดียว
-อาคารที่ยกระดับขึ้นและหันหน้าไปทางแม่น้ำที่ไหลรินช้าๆ หรือ ทะเลสาบที่ราบเรียบ จัดได้ว่าอยู่ในทำเลที่ดี เพราะ
กระแสของน้ำเปรียบได้กับเงินทอง ยิงมีน้ำไหลเอื่อยๆ ยิ่งทำให้การหมุนเวียนของกระแสโชคลาภคล่องตัวขึ้น
-อาคารพักอาศัยทีหันหน้าชนกับทางสามแพร่งนั้น ต้องหาทางแก้ไขโดยเร็วที่สุด เพราะพลังเลวร้ายจาก 3 ทิศจะพุ่งตรง
สู่อาคารหลังนั้น ทำให้คนในบ้านอยู่กันไม่เป็นสูข มีแต่เรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ เสียเงินทองไม่หยุดหย่อน
ทางแก้นั้นทำได้หลายทาง เช่น แขวนลูกแก้วคริสตัลไว้ที่หน้าบ้าน ติดกระจกไว้หน้าประตูบ้านเพื่อสะท้อนพลังงาน
เลยร้ายออกไปจากตัวบ้าน หรือติดตั้งยันต์ 8 ทิศเอาไว้ เพื่อคุ้มครองคนที่อยู่ในบ้าน
-บ้านที่ปลูกด้วยดินเปล่า ควรตรวจดูให้ดีว่าที่นั้นมีหน้าดินที่สะอาด มีการระบายน้ำอย่างทั่วถึง เพื่อให้เกิดการไหลเวียน
ของพลังงานที่ดี
-ทำเลของบ้านที่เป็นมงคลที่สุดตามหลักฮวงจุ้ยนั้น ด้านหน้าของหน้าของบ้านนั้นควรต่ำกว่าด้านหลัง คือ พื้นที่
ด้านหน้าควรหันเข้าหาทะเล แม่น้ำ ทะเลทราบ หรือพื้นดินที่ต่ำกว่า
ส่วนด้านหลังควรอิงอยู่กับภูเขา เนินเขา หรือพื้นดินที่สูงกว่าเพื่อให้บ้านนั้นได้รัการคุ้มครอง เหมือนกับมือกองทัพ
คอยหนุนหลังอยู่ในยามสู้รบ
>>>>>กลับไปด้านบน<<<<<<
|